วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปลาเล็กกินปลาใหญ่


ปลาเล็กกินปลาใหญ่

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก


                “พวกที่ตัวใหญ่ๆ มักไม่กินตัวเล็กๆ เสมอไป แต่พวกที่รวดเร็วกว่าสิ กินพวกที่ช้ากว่าเสมอ” เป็นคำกล่าวของประธานบริษัท BMW แห่งยุโรปเมื่อปี 1989

                โลกแห่งการแข่งขันในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะเรื่องของการตลาดมีความสำคัญเป็นอันมาก  ซึ่งโลกยุคนี้อะไรก็ไม่แน่นอน บริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัทมักไม่สามารถเอาชนะการแข่งขันกับบริษัทเล็กๆบางแห่งได้ แต่สิ่งที่บริษัทเล็กๆ สามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ๆได้ มีประเด็นที่สำคัญก็คือบริษัทเล็กๆต้องพัฒนาเรื่องของความคิด พัฒนาไอเดีย พัฒนาการคิดต่าง คิดอย่างผู้ท้าชิง หาโอกาสให้ตัวเองและจงรักในสิ่งที่ทำ จงทำในสิ่งที่รัก

                ในอดีต บริษัทไมโครซอฟท์ของบิล เกตส์ และ บริษัท แอปเปิลของสตีฟ จอบส์ นับว่าเป็นบริษัทเล็กๆ เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM แต่เนื่องจาก ทั้งคนได้ใช้ ไอเดีย คิดค้นสินค้าใหม่ๆ จึงทำให้บริษัทของเขาทั้งสองคน เจริญเติบโตจากบริษัทเล็กๆ จนกลายเป็นบริษัทใหญ่ๆระดับโลกได้ในที่สุด

                เราจะสังเกตได้ว่า ทั้งสองคนมีแนวความคิด มีไอเดีย ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ดังปรากฏในข่าวตามสื่อต่างๆ หรือจากคำพูดของเขาทั้งสองคน

                บิล เกตส์ เคยกล่าวว่า  “ ทุกวันนี้ผมทำงานเพราะผมสนุกกับมัน ชีวิตจะสดใสขึ้น ถ้าคุณมองการท้าทายให้เป็นหนทางแห่งการสร้างสรรค์” หรือ “ ไมโครซอฟท์จะรับและต่อยอดเทคโนโลยีออกไปซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่ใหม่ขึ้นมา” หรือ “เราต้องการทำให้แน่ใจว่า เราเป็นผู้นำสินค้าใหม่ไปทดแทนสินค้าของเราเองแทนที่จะให้ผู้อื่นเป็นผู้กระทำ”  หรือ “ อะไรทำให้ไมโครซอฟท์ทะยานขึ้นเป็นผู้นำ บิลเกตส์บอกว่า มันคือความคิดนั่นเอง”

                สตีฟ จอบส์ เคยกล่าวว่า “ ช่วงชีวิตของคนเรานั้นมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาให้กับการใช้ชีวิตตามคนอื่น” หรือ “ การเป็นคนรวยที่สุดในสุสานไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ แต่การที่ผมได้นอนหลับบนเตียงและพูดว่า วันนี้เราได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ทิ้งไว้ให้กับโลก คือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด” หรือ “ ในบางครั้งที่คุณเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ แล้วพบกับความผิดพลาด มันจะเป็นการดีมากที่คุณจะรีบหันมายอมรับข้อผิดพลาดนั้นเสียแล้วเดินหน้าปรับปรุงสิ่งใหม่อื่นๆต่อไป”

ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า จากคำพูดของบิล เกตส์ และสตีฟ จอบส์ เขาทั้ง 2 คน ได้พัฒนาความคิด พัฒนาไอเดียใหม่ๆออกมาเสมอๆ ดังนั้น หากว่าบริษัทของท่านเป็นบริษัทเล็กๆ ท่านสามารถเอาชนะบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ด้วยการใช้ความคิดใหม่ๆ ไอเดียใหม่ๆ มาแข่งขัน

แล้วถามว่ามันยากไหมที่จะสามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ๆได้หากว่าเราเป็นบริษัทเล็กๆ คำตอบมีอยู่ว่า ยุคปัจจุบันลูกค้า ผู้บริโภค ไม่เหมือนเดิมแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต และในอนาคต ลูกค้า ผู้บริโภค ก็จะยิ่งมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป   หากว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่สามารถปรับตัวต่อการแข่งขัน ก็มีโอกาสตายได้เช่นกัน ดังเช่น ฟิลม์ถ่ายรูปในอดีตมีหลายบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่แต่ก็ล้มหายตายจากไปก็เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้พฤติกรรมลูกค้า ผู้บริโภค เปลี่ยนแปลงตาม จากการใช้ฟิลม์ปกติก็เปลี่ยนแปลงเป็นมาใช้กล้อง Digital บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Kadak คือตัวอย่างที่ดีในอดีตเป็นผู้นำวงการถ่ายรูป  แต่ Kadak มีการปรับตัวน้อยมากจึงไม่สามารถรักษาความเป็นผู้นำได้

                แล้วถามว่า บริษัทเล็กๆ จะพัฒนาความคิด ไอเดีย จากอะไร นาย Dee Hock กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การป้อนความคิดแปลกๆใหม่ๆ ใส่เข้าไปในหัวสมองของเรา หากแต่อยู่ที่การขจัดความคิดเก่าๆ ออกไปต่างหาก หัวสมองของเราก็เหมือนกับห้องที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ล้าสมัย เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะเอาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ใส่เข้าไป เราก็ต้องย้ายเฟอร์นิเจอร์เก่าออกไปจากห้องนี้ให้หมด” กล่าวคือ นาย Dee Hock ได้แนะนำให้ลืมอดีตไปบ้าง ไม่ควรนำอดีตมาใส่ในสมอง เพราะหากนำมาใส่มากๆ ก็จะทำให้เราคิดสิ่งใหม่ๆ สิ่งแปลกๆ สิ่งที่สร้างสรรค์ไม่ออก

ดังคำพูดของสตีฟ จอบส์ ที่เคยตอบนักข่าวว่า เขาเชื่อเรื่อง งานวิจัยตลาดมากน้อยขนาดไหน เขาตอบว่า บริษัทมีทีมงานวิจัยของบริษัทเอง เขาให้ความสำคัญกับงานวิจัยตลาดน้อยมาก แต่จะให้ความสำคัญกับการออกนวัตกรรมใหม่ๆ อีกทั้งเขายังยกตัวอย่างต่ออีกว่า ในอดีตคนเราเดินทางโดยใช้ รถม้า ใช้ม้า หากว่ามีการวิจัยการตลาด ว่าคนต้องการอะไร ผู้คนในอดีตก็ต้องตอบว่า ต้องการม้าที่แข็งแรงวิ่งได้เร็ว แต่เจ้าของหรือผู้ผลิตรถยนต์คันแรกของโลก ยี่ห้อ ฟอร์ด หรือนายฟอร์ด ไม่ได้มีการวิจัยตลาดในขณะนั้น รถยนต์คันแรกจึงได้เกิดขึ้น

Think ต่างคืออีกเทคนิคหนึ่งซึ่งจะนำมาซึ่งความคิดและไอเดียแปลกๆ ก็คือ คุณต้องมีความคิดต่าง ในอดีตร้านขายข้าวต้มมีผัดผักบุ้งไฟแดง แต่ด้วยความคิดต่างจึงเกิดมี “ ผักบุ้งลอยฟ้า” หรือ ร้านขายไอศกรีมหากขายตามปกติ ธรรมดาก็ขายกันเหมือนร้านทั่วๆไป แต่ปัจจุบันมี “ไอศกรีมลอยฟ้าหน้าพระปฐมเจดีย์”  ฉะนั้น การคิดต่าง  จึงก่อให้เกิดชื่อเสียง เกิดความแปลกใหม่ เกิดความสนใจ เกิดความอยากที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆ

คิดอย่างผู้ท้าชิง หากต้องการจะเอาชนะยักษ์ใหญ่หรือต้องการเป็นผู้นำตลาดอยู่เสมอ เราก็ควรมีความคิดอย่างผู้ท้าชิงอยู่ตลอดเวลา เพราะหากว่าวันใดเราคิดว่า เราเหนือกว่าคนอื่นแล้ว เราก็ไม่อยากที่จะคิด อยากที่จะพัฒนาตนเอง ไม่อยากที่จะพัฒนาความคิด พัฒนาไอเดีย ต่อไป จงคิดอย่างผู้ท้าชิงอยู่เสมอ แล้ว ท่านจะได้ไม่หยุดความคิดในการพัฒนาสินค้าและบริการของท่านเอง

หาโอกาสให้ตัวเอง บริษัทของตัวเอง สินค้าและบริการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา โอกาสมีอยู่ทุกๆที่ ทุกหนแห่ง เพียงแต่เราจะสามารถจับมัน หยิบมันมาใช้ได้หรือไม่ บางคนมีโอกาส เข้ามาในชีวิตแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับโอกาสที่ผ่านเข้ามาได้  จงเตรียมพร้อมความคิด ไอเดีย ต่างๆของคุณ เมื่อโอกาสมาถึงความคิด ไอเดียดีๆ จะทำให้คุณประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และนำพาคุณไปสู่ความร่ำรวยได้  สำหรับวิธีในการหาโอกาส เราสามารถหาโอกาสได้จากหลายวิธี เช่น การสมัครเป็นสมาชิกสื่อต่างๆในวงการที่เราทำงาน,การไปร่วมงานแสดงงานโชว์สินค้าต่างๆ,การนำเอาของเก่ามาประยุกต์และพัฒนาขึ้นมาใหม่ เป็นต้น

จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำในสิ่งที่รัก บุคคลที่ประสบความสำเร็จ สร้างความร่ำรวยหรือโด่งดัง เขามักจะทำงานในสิ่งที่เขารัก เขาจึงกลายเป็นคนร่ำรวยและมีชื่อเสียงในที่สุด หากบริษัทของท่านยังเล็กอยู่ ท่านสามารถสนุกกับมัน ท่านสามารถพัฒนาบริษัทจนเติบโตได้ หากว่าท่านได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก จงรักในสิ่งที่ที่ท่านทำและจงทำในสิ่งที่รัก แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ

ดังนั้น ปลาเลิกสามารถกินปลาใหญ่ได้  บริษัทเล็กๆ สามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ๆได้ ก็โดยการพัฒนาเรื่องของความคิด พัฒนาไอเดีย พัฒนาการคิดต่าง คิดอย่างผู้ท้าชิง หาโอกาสให้ตัวเองและจงรักในสิ่งที่ทำ จงทำในสิ่งที่รัก

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด


ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก


                ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด ภาษาอังกฤษมักเรียกว่า Integrated Marketing Communication หรือเรียกย่อว่า IMC เป็นการพัฒนาการสื่อสารการตลาดที่นำการสื่อสารหลายๆรูปแบบมาผสมผสานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย  เพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ IMC จึงขออ้างอิงคำอธิบายของนักวิชาการดังนี้

                Shimp (2000: 124) ได้ นิยามความหมายของการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการว่า เป็นกระบวนการของการพัฒนาและการใช้รูปแบบต่างๆ ของโปรแกรมการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภคตามเป้าหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค

                American Association of Advertising Agencies (cited in Belch and Belch, 2004: 242) ได้ให้ความหมายของ IMC ว่า เป็นแนวความคิดของการวางแผนการสื่อสารการตลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าเพิ่ม  โดยการผสมผสานรูปแบบการสื่อสารต่างๆ  เพื่อก่อให้เกิดความชัดเจน กลมกลืน

                Russell and Lane (2002: 391)ให้ความหมายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการว่า เป็นการสื่อสารการตลาดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงการโฆษณา หรือการประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่เป็นการทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการอย่างแท้จริง จากนั้นจึงคิดและวางแผนให้การสื่อสารทั้งหมดขององค์กรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

                ซึ่งการทำ IMC ต้องอาศัยกระบวนการที่หลากหลายและอย่างเป็นระบบ กล่าวคือต้องเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาวะทางการตลาด กลุ่มเป้าหมาย มีการจัดกิจกรรมพิเศษ มีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ มีการส่งเสริมการขาย และเครื่องมือต่างๆอีกมากมาย

                ทำไมธุรกิจต่างๆ องค์กรต่างๆ หน่วยงานต่างๆ จะต้องทำ IMC เพราะการสื่อสารเป็นส่วนประสมหนึ่งที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากการสื่อสารจะทำให้ลูกค้า ประชาชน ผู้บริโภค ผู้ใช้บริการ ได้รับทราบข้อมูล ข่าวสารต่างๆ อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร

                IMC มีความจำเป็นแค่ไหน มีความจำเป็นเป็นอันมากในยุคปัจจุบันและอนาคต ตามความเป็นจริงแล้วในยุคปัจจุบัน เราต้องยอมรับกันว่า สื่อต่างๆมีมากขึ้น  สื่อบางอย่างที่นิยมในอดีตมีราคาแพงขึ้น ผู้บริโภค สามารถรับสื่อต่างๆได้อย่างมากมายกว่าในอดีต

                IMC กับการส่งเสริมตราสินค้า IMC สามารถส่งเสริมตราสินค้าได้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตราสินค้า มีความสัมพันธ์กับราคา ความคุ้มค่า หากว่าตราสินค้าไหน เป็นที่รู้จักมาก โอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า บริการ ก็ยิ่งจะมีมากขึ้น อีกทั้งในยุคปัจจุบัน มีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น หากไม่มีการทำ IMC ก็จะถูกแย่งลูกค้าไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารตราสินค้า อันได้แก่ การโฆษณา,การขายโดยพนักงานขาย,การประชาสัมพันธ์,การส่งเสริมการขาย,การจัดโชว์รูม,การใช้ยานพาหนะของบริษัทเคลื่อนที่,การใช้ป้ายต่างๆ,การใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ต,การจัดนิทรรศการ,การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ เป็นต้น

                IMC ที่ยอดเยี่ยมมักจะต้อง ใหม่ แปลก ใหญ่ ดัง กล่าวคือ หากทำสื่อต่างๆ ออกมาเหมือนกับคู่แข่งในท้องตลาด ก็จะไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเท่าที่ควร ตรงกันข้าม หากว่าเราทำสื่อต่างๆออกมาอย่างสร้างสรรค์ให้ 1.ใหม่ 2.แปลก 3.ใหญ่ 4.ดัง หากเป็นลักษณะนี้ ก็จะสร้างความจดจำและเป็นที่ประทับใจของลูกค้าได้มากกว่า

                1.ใหม่ คือ ถ้าทำอะไรเป็นเจ้าแรก มักจะทำให้เกิดเป็นที่จดจำได้มากกว่า

                2.แปลก คือ ถ้าทำอะไรให้แตกต่างกว่าคนอื่น มากจะได้รับความสนใจที่ดีกว่า

3.ใหญ่ คือ ถ้าทำอะไรให้ยิ่งใหญ่กว่าคู่แข่ง จะทำให้คนมาร่วมงานมาก ภาพลักษณ์ก็จะเหนือกว่า

4.ดัง คือ ถ้าทำอะไรต้องมีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้ อีกทั้งควรมีคนดังๆ มาร่วมงาน มาเปิดงาน เช่น นักการเมืองดัง นักกีฬาดัง ดารา นักแสดงดัง ก็จะทำให้เป็นที่สนใจ

                IMC กับ การประชาสัมพันธ์ ธุรกิจยุคปัจจุบัน มักให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ องค์กรหลายแห่งในยุคปัจจุบัน ถึงกับสนับสนุนและให้ความสำคัญในการทำประชาสัมพันธ์มากกว่าการทำการโฆษณาเสียอีก เพราะ การประชาสัมพันธ์ใช้จ่ายในการซื้อสื่อน้อยกว่าการโฆษณาซึ่งจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อสื่อ อีกทั้งยังได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่า ซึ่งเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ที่สำคัญๆ ได้แก่ การให้ข่าว การสัมภาษณ์ การสร้างสื่อมวลชนสัมพันธ์ การสร้างชุมชนสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมพิเศษ การทำการกุศล เป็นต้น

                IMC กับ การทำการตลาด บน Facebook ในยุคนี้ หากบริษัทใดไม่ทำการตลาดใน Facebook ก็มักจะเสียเปรียบคู่แข่งขัน เพราะการทำการตลาดบน Facebook มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ทันสมัย , เป็นสื่อที่มีราคาถูก , เป็นสื่อที่มีความไวต่อการรับรู้ข้อมูล ,  เป็นสื่อที่สามารถเชื่อมโยงไปยังสื่อต่างๆโดยเฉพาะเครือข่ายสังคมออนไลน์อื่นๆได้เป็นอันมาก , อีกทั้งเรายังสามารถทำการโฆษณาสินค้า บริการผ่านกลุ่มคนในเครือข่ายได้อีกด้วย

                Facebook สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด เช่น การเขียนบล็อก เชื่อมโยง Twitter  เชื่อมโยง Youtube ทำสไลด์ฟรีเซนเตชัน ดึงข่าวเทรนด์ตลาดมาแสดงในFacebook(Social RSS) , MSN Messenger , Yahoo Messenger , Skype เพื่อสร้างความสัมพันธ์คุยธุรกิจกับลูกค้า เป็นต้น

                IMC กับ การโฆษณา การโฆษณามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำการตลาด แต่ทั้งนี้ เราควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆด้วย เช่น งบประมาณในการทำโฆษณามีจำนวนเท่าไร , ควรใช้สื่อใดในการทำโฆษณา , ควรสร้างโฆษณางานโฆษณาอย่างไร , ใครคือกลุ่มเป้าหมายของการโฆษณา , บุคลิกภาพของสินค้าสัมพันธ์กับสื่อโฆษณาหรือไม่ เป็นต้น

IMC กับ พรรคการเมือง ในปัจจุบันพรรคการเมืองเกือบทุกพรรคของไทย นิยมใช้การตลาดมาประยุกต์ใช้กับการเมือง เช่น ตราสินค้า(Brand Name) อันได้แก่ชื่อพรรค (เพื่อไทย,ประชาธิปัตย์,ชาติไทยพัฒนา) , มีสโลแกน ( คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน ) และมีการเลือกใช้วิธีการสื่อสารตราสินค้า(Brand contact point) เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์  การส่งเสริมการขาย การขายโดยใช้พนักงานขาย การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ การใช้ยานพาหนะเคลื่อนที่ การตลาดเจาะตรง แผ่นพับ ฯลฯ จึงไม่ต้องแปลกใจที่พรรคการเมืองต่างๆในยุคปัจจุบัน มีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายมหาศาล

IMC กับ CSR (Corporate Social Responsibility)  การทำกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม หากบริษัทใดไม่มีการทำ IMC ก็จะทำให้ประชาชนไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหว  แต่ตรงกันข้ามบริษัทใด องค์กรใด เสียงบประมาณน้อยกว่า หรือทำน้อยกว่า แต่ทำ IMC ไปด้วย ก็จะทำให้เป็นที่รู้จักของประชาชน

 

                ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า การทำ IMC จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าต่อหน่วยงานใด องค์กรใด หากทำ IMC ก็จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี  ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดรายได้ ทำให้เกิดกำไร ต่อธุรกิจและต่อบริษัท

               

                 

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ยุทธวิธีการตลาด

ยุทธวิธีการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
            เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การตลาดมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะการตลาดสามารถปรับใช้กับการทำงานต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านธุรกิจ การเมือง ราชการ ศาสนา การบริหาร ทุกๆวงการ สามารถนำการตลาดไปปรับใช้ภายในงานของตนเองได้
            ผู้บริหารในองค์กรต่างๆ จึงหลีกเลี่ยงการตลาดไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน หากผู้บริหารท่านใดมีหัวใจเป็นนักการตลาด ก็จะยิ่งทำให้องค์กรนั้น มีความเข้มแข็ง เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งยุทธวิธีการตลาดมีหลากหลายรูปแบบ ดังนี้
            1.ยุทธวิธีการตลาดแบบปากต่อปาก เป็นการทำการตลาดโดยผ่านการสื่อสารโดยเฉพาะจากคำพูดแบบปากต่อปาก ตลอดจนการกระตุ้นให้เกิดคำพูดที่ทรงพลัง ในปัจจุบันเราสามารถเผยแพร่ข่าวสารให้แก่ผู้บริโภคให้ทราบสินค้าและบริการของเราได้หลายวิธี แต่การตลาดแบบปากต่อปาก เป็นยุทธวิธีที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี เช่น
            ทุกๆปี บริษัทภาพยนตร์ ได้ทำการสำรวจว่า ลูกค้าที่เข้าชมภาพยนตร์แต่ละเรื่อง รับรู้ข้อมูลจากภาพยนตร์จากช่องทางใดบ้าง คำตอบที่มักจะได้รับคือ เกิดจากการบอกเล่าต่อๆกัน แบบปากต่อปาก โดยผ่านจากผู้เข้าชมภาพยนตร์เรื่องนั้นๆแล้วทำการแนะนำต่อๆกันไปหรือบอกให้กับคนรู้จักให้เข้าไปดู
            70 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่ตัดสินใจเลือกแพทย์ประจำตัว มักเกิดจากคำแนะนำของบุคคลที่รู้จัก
อีกทั้งยุทธวิธีการตลาดแบบปากต่อปาก ในยุคปัจจุบันมีพลังมากมายอย่างยิ่งโดยผ่านสื่อต่างๆ เช่น ผ่าน โซเชียลมีเดีย หรือ Social Media   คือ สื่อสังคมออนไลน์ โดยผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต(Facebook,ไลน์ ,Youtube,twitter) , การส่งอีเมล์ ความคิดเห็นต่างๆ ถึงเพื่อนฝูง , นำเสนอความคิดหรือคำพูดของตนผ่านทางเวปไซค์ของตนเอง เป็นต้น
             2.ยุทธวิธีการสร้าง แบรนด์ หรือ Brand  การทำการตลาดสมัยใหม่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการที่จะต้องสร้าง Brand เพราะการสร้าง Brand จะทำให้ถูกซื้อ จะทำให้เป็นที่จดจำ จะทำให้มีเอกลักษณ์ จะทำให้มีความชัดเจน และจะทำให้สินค้าที่ถูกสร้างผ่าน Brand มีราคาที่สูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน สินค้าที่ไม่ได้มีการสร้าง Brand จะต้องถูกขาย  จะถูกลืมได้ง่าย สินค้าจะถูกมองว่าเป็นแค่ของซื้อของขาย มีความชัดเจนต่ำ และทำให้สินค้าขายได้ในราคาที่ต่ำอีกด้วย
            3.ยุทธวิธีการรุกและการตั้งรับ การทำการตลาดที่ดี ไม่ใช่ว่าจะรุกหรือบุกตลาดตลอดเวลา อีกทั้งการทำการตลาดที่ดีก็ไม่ควรตั้งรับตลอดเวลา แต่การทำการตลาดที่ดี ควรมีทั้งการรุกและการตั้งรับ สลับกันไปตามสถานการณ์นั้นๆ ดังคำพูดของคุณเทียม โชควัฒนา  เร็ว ช้า หนัก เบา “ในการทำงานนั้น ควรหมั่นพิจารณาอยู่เสมอว่า งานไหนทำก่อน งานไหนทำทีหลัง งานไหนต้องจริงจัง และงานไหนที่พอควร”
นักการตลาดก็เช่นกัน ควรทำการปรับยุทธวิธีการตลาดให้ถูกจังหวะกับสถานการณ์ต่างๆ
            4.ยุทธวิธีสร้างภาพลักษณ์ การทำการตลาดสมัยใหม่ ต้องทำเพื่อสังคมด้วย หากหวังแต่กำไรฝ่ายเดียว ธุรกิจก็คงอยู่ได้ไม่นาน เช่น การเสริมสร้างสังคม ให้เงินช่วยเหลือ ทำบุญ ทำกุศล บริจาค แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง จึงจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี
            5.ยุทธวิธีการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทอง การทำธุรกิจหรือทำกิจกรรมใดๆ เมื่อทำไปนานๆ บางช่วงเวลาก็อาจประสบปัญหา เกิดวิกฤต นักการตลาดชั้นเซียน ที่มากด้วยความสามารถจึงสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทองได้
            6.ยุทธวิธีแห่งการสร้างสรรค์ หากนักการตลาดทำแบบเดิมๆ ผลที่ออกมาก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ตรงกันข้าม หากนักการตลาดลองทำวิธีการใหม่ๆ หานวัตกรรมใหม่ๆ ดังคำที่ผู้ประสบความสำเร็จหลายคนเคยกล่าวว่า “ ผู้ชนะคือผู้กำหนดเกมส์ ส่วนผู้แพ้คือผู้เล่นตามเกมส์ของผู้อื่น” หากท่านต้องการเป็นผู้ชนะทางการตลาด ท่านจึงควรกำหนดเกมส์ทางการตลาดใหม่ๆให้นักการตลาดคนอื่นๆเล่นตามเกมส์ของท่าน
            7.ยุทธวิธีแห่งความบันเทิง หลายธุรกิจในยุคปัจจุบัน มักใช้ความบันเทิง ความสนุก ความรื่นเริง มาผสมผสานกับการตลาดเพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ เช่น การมีกิจกรรมต่างๆให้ลูกค้าได้เข้าร่วมสนุกสนาน , การประกวดร้องเพลง , การชิงโชค , การสร้างความบันเทิงจากการโฆษณาต่างๆ ฯลฯ
            8.ยุทธวิธีลูกค้าคือพระเจ้า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง ผู้บังคับบัญชาของเขาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นลูกค้าของเขาหรือประชาชนนั่นเอง เพราะถ้าประชาชนไม่พอใจการทำงาน การเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนก็จะไม่เลือก การขายมีความสำคัญก็จริงอยู่แต่การบริการก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะถ้าหากบริการไม่ดี ถูกลูกค้าต่อว่า ก็เป็นเหตุให้สูญเสียฐานลูกค้าไป การสร้างลูกค้าใหม่มีความสำคัญแต่ก็ไม่ใช่จะสร้างกันง่ายๆ แต่การรักษาฐานลูกค้าเก่าทำได้ง่ายและมีต้นทุนที่ถูกกว่าไม่ใช่หรือ
            9.ยุทธวิธีขยายฐานลูกค้าของตัวเองตลอดเวลา เราลองไปสังเกตดูพวกที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยเป็นเศรษฐีเขาจะร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ ตามขนาดของฐานลูกค้าของเขา ตัวอย่าง ร้าน 7-11 หรือ เซเว่น อีเลฟเว่น ธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์ หุ้นราคาเพิ่มขึ้น เจ้าของร่ำรวยขึ้น ตามขนาดและจำนวนของสาขาที่เพิ่มขึ้นในทุกๆวัน
10.ยุทธวิธีการนำเสนอสินค้า ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การมีสินค้าให้ลูกค้าได้เลือก มีความหมายต่อการทำธุรกิจในระยะยาว หากเราเดินเข้าไปซื้อสินค้าในร้าน 2 ร้าน ร้านที่ 1  มีสินค้าให้ท่านเลือกในจำนวนจำกัดหรือมีน้อยชิ้น แต่ในร้านที่ 2 มีสินค้าให้ท่านได้เลือกมากมาย หลากหลาย ถามว่าเราหรือคนส่วนใหญ่จะเข้าร้านไหน คำตอบของคนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวเราเอง มักจะเลือกร้านที่ 2 มากกว่า จริงไหมครับ
11.ยุทธวิธีการระดมนักการตลาดที่เก่งๆมาช่วยงาน หากมีคนไปสัมภาษณ์บรรดาเศรษฐีระดับประเทศหรือมหาเศรษฐีระดับโลก ว่าการนำนักการตลาดเก่งๆ เข้ามาช่วยทำงานในองค์กรจะเกิดอะไรขึ้น บรรดาเศรษฐีทุกๆคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน ว่า “ มันมีความจำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะนำคนเก่งๆเข้ามาทำงานในองค์กร”
             12.ยุทธวิธีสร้าง Network Marketing หรือ เน็ตเวิร์ก มาร์เก็ตติ้ง การสร้างเครือข่ายมีความสำคัญและจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะการสร้างเครือข่ายจะทำให้เราได้ลูกค้ามากขึ้น การสื่อสารกับลูกค้าจะง่ายขึ้น ประหยัดต้นทุน ทำให้ทำงานได้คล่อง มีฐานผู้ร่วมทุน ฐานลูกค้าที่มากมายมหาศาล 
            ดังนั้น ยุทธวิธีต่างๆที่ได้กล่าวไปข้างต้น จึงเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการทำการตลาด นักการตลาดที่เก่ง มักจะเป็นนักการตลาดที่ไร้กระบวนท่า กล่าวคือ ไม่ติดยึดในหลักการ หลักทฤษฏี มากจนเกินไป แต่จะเป็นนักปฏิบัติที่สามารถหยืดหยุ่น ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้ มีลูกเล่น ลูกล่อ ลูกชน มีการรุกและการตั้งรับ ในทุกโอกาส อีกทั้งจะไวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะเรื่องของความต้องการของลูกค้า
            ท่านผู้อ่านก็สามารถเป็นสุดยอดนักการตลาดได้ ด้วยการฝึกฝน พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง ยุทธวิธีการตลาดข้างต้น จึงเป็นแนวทางที่ท่านสามารถนำไปใช้หรือนำไปปฏิบัติได้ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการเป็นสุดยอดนักการตลาด
           

            

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เพื่อนคือทั้งหมดของชีวิต

เพื่อนคือทั้งหมดของชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
กัลยาณมิตรหรือเพื่อน มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตของคนเรา ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้า เคยตรัสสอนกับพระอานนท์ว่า “ เพื่อนคือทั้งหมดของชีวิต ” เพราะการคบเพื่อนดี เพื่อนก็จะพาเราไปสู่สิ่งที่ดีๆ ในทางกลับกัน หากว่าเราคบเพื่อนที่ไม่ดี เพื่อนที่ไม่ดี ก็จะพาเราไปสู่หนทางที่ตกต่ำของชีวิต ดังคำกล่าวของคนโบราณว่า “ คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล”
พ่อแม่ คือ เพื่อนที่ดีที่สุดของชีวิต ดังบทเพลง ใครหนอ ของ ศรีไศล สุชาติวุฒิ
“ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวี  ใคร หนอ ปราณี ไม่มีเสื่อมคลาย 
ใคร หนอ รักเราใช่เพียงรูปกาย       รักเขาไม่หน่าย มิคิดทำลาย ใคร หนอ 
ใคร หนอ เห็นเรา เศร้าทรวงใน      ใคร หนอ เอาใจปลอบเราเรื่อยมา 
ใคร หนอ รักเราดังดวงแก้วตา         รักเขากว้างกว่า พื้นพสุธา นภากาศ 
จะเอาโลก มาทำปากกา                     แล้วเอานภา มาแทน กระดาษ 
เอาน้ำหมด มหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศ พระคุณไม่พอ 
ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวัน (เท่าชีวัน) ใคร หนอ ใครกันให้เราขี่คอ (คุณพ่อ คุณแม่) 
ใคร หนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ           รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ 
จากบทเพลง คงทำให้เราแลเห็น พระคุณที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ แต่ก็มีหลายคนที่ประพฤติไม่ดีกับ มิตรที่ดีที่สุดคือพ่อแม่ จนกระทั่ง พ่อแม่หลายๆ คน เมื่อจะต้องจำลาจากโลกนี้ไป ยังต้องยกมรดกให้แก่ มูลนิธิ การกุศล สัตว์เลี้ยง ฯลฯ แทนที่จะเป็นลูก ก็เนื่องจาก ลูก ไม่ได้ปฏิบัติต่อมิตรที่ดีที่สุดของตนเอง
ดังข่าว “ ท้วง พินัยกรรม แม่ให้มรดกหมา ”  เดลี่เมล์รายงานว่า เมื่อ 18 มิถุนายน นายเบร็ต คาร์ ทายาทเศรษฐีนีอังกฤษ เกล พอสเนอร์ ฟ้องร้องให้ศาลสั่งให้พินัยกรรมของมารดาเป็นโมฆะ เพราะมารดาที่เสียชีวิตไปเมื่อเดือน มีนาคม ขณะอายุ 67 ปี ถูกยุยงให้ยกมรดกให้กับสุนัขที่เลี้ยงไว้ 3 ตัว รวม 380 ล้านบาท ส่วนอีกราว 820 ล้านบาท ยกให้คนรับใช้ที่ดูแลบ้านและสุนัข โดยเหลือไว้ให้ลูกชายแท้ๆ เพียง 3 ล้านบาท”(อ้างอิงจาก ข่าวสดรายวันออนไลน์ วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7142 )
จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้น หากว่า ลูกๆ ปฏิบัติต่อมิตรที่ดีที่สุดอย่างถูกต้องและเหมาะสม
แม่บ้านที่ทำงานเป็นมิตรที่ดี หากว่าเราปฏิบัติต่อแม่บ้านที่ทำงานอย่างมิตรที่ดีคนหนึ่ง เราก็จะได้รับบริการที่ดี แม่บ้านก็จะให้ความช่วยเหลือ เพราะความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่หากเราปฏิบัติต่อมิตรไม่ดี เราอาจถูกแม่บ้านกลั่นแกล้ง แม่บ้านบางคนอาจไม่ชอบเรา เขาอาจจะ ถุยน้ำลายลงในกาแฟที่เราดื่ม ก็ได้ ด้วยความสะใจ
เพื่อนที่ทำงานเป็นมิตรที่ดี หากว่าเราปฏิบัติต่อเพื่อนที่ทำงานด้วยมิตรภาพ เพื่อนที่ทำงานคลอดลูก เจ็บป่วย เราไปเยี่ยมเยือน อีกหน่อยหากว่า เราเจ็บป่วย เข้าโรงพยาบาล เขาก็จะกลับมาเยี่ยมเยือนเราเช่นกัน
ยามรักษาความปลอดภัย หากว่าเรามีความเป็นมิตรกับยามรักษาความปลอดภัย เขาก็จะช่วยดูแลทรัพย์สินของเราเป็นอย่างดี อีกทั้งเวลามีปัญหาอะไร เขาก็จะช่วยเราแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที แต่ตรงกันข้าม หากเราประพฤติไม่ดีต่อเขา ไปดูถูกเขา ไปต่อว่าเขา เวลาเกิดปัญหาอะไร เขาก็ช่วยเหลืออย่างไม่เต็มที

ฉะนั้น พยายามคบคนทั้งหลายให้เป็นมิตร โดยเฉพาะเลือกคบกับคนที่ดีๆ แล้วชีวิตของท่านจะพบแต่สิ่งที่ดีๆ ท่านจะพบกับความสุขของชีวิต ก็เพราะว่า  เพื่อนคือทั้งหมดของชีวิต 

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สร้างนิสัยแห่งความสำเร็จ

สร้างนิสัยแห่งความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
                คนที่ประสบความสำเร็จ มักมีนิสัย  ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ในทางตรงกันข้าม คนที่ล้มเหลว มักมี นิสัยที่ทำให้เขาล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ท่านจึงควรสร้างนิสัยใหม่ที่จะทำให้ท่านเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ โดยดูต้นแบบว่า คนที่ประสบความสำเร็จ เขามีนิสัยอย่างไรกัน จากการอ่านและการค้นคว้าของกระผม กระผมพอสรุปได้ดังนี้
                1.มีความเป้าหมาย มีความตั้งใจ มุ่งมั่น พยายาม เพื่อไปให้สู่เป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เขามักมีเป้าหมายในชีวิต อีกทั้งเขาพยายามทุ่มเท ชีวิต พลังงานทั้งหมด ไปยังเป้าหมายที่เขาได้กำหนดเอาไว้
                2.วางแผน เขียนแผนการ ลงบนกระดาษ คนที่ประสบความสำเร็จ เขามักมีการวางแผน อีกทั้งมักจะเขียนแผนการ เป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน รายปี ราย 5 ปี ราย 10 ปี ไว้บนกระดาษ เพราะการเขียนไว้บนกระดาษจะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งทำให้เกิดการตรวจสอบ เกิดการควบคุม เป้าหมายและแผนการ ว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง
                3.พึ่งตนเอง มากกว่าพึ่งเทวดา ฟ้า ดิน พระเจ้า คนที่ประสบความสำเร็จ เขามักเชื่อมั่นในตนเอง  เขามักพึ่งพาตนเอง มากกว่า พึ่งคนอื่น และยังเป็นที่พึ่งของคนอื่นๆได้อีกด้วย
                4.เป็นคนที่มีจินตนาการ มีความฝัน มีความหวัง คนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มักเป็นนักคิด นักฝัน นักจินตนาการ เขาจึงสามารถสร้างผลงานที่ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นแก่สังคมและประเทศชาติ
                5.ดึงศักยภาพแฝงเร้นออกมาใช้ได้มากกว่าคนอื่นๆ ความจริงแล้ว คนเรามีพลัง มีศักยภาพมากมาย แต่เรามักไม่ได้นำออกมาใช้งาน แต่ตรงกันข้าม คนที่ประสบความสำเร็จ เขามักดึงศักยภาพแฝงเร้นออกมาใช้ได้อย่างมหาศาล
                6.เป็นคนที่ ททท.หรือทำทันที คนที่ประสบความสำเร็จเมื่อ มีเป้าหมายแล้ว มีการวางแผนแล้ว มีจินตนาการแล้ว  เขาจะลงมือทำทันที แต่ตรงกันข้าม บุคคลโดยทั่วไป เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่ไม่ยอมลงมือทำ แต่จะมีข้ออ้างต่างๆนานา เพื่อที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องทำสิ่งนั้น
                7.หาความรู้เสมอ ไม่หยุดยั้ง คนที่ประสบความสำเร็จ เขามักเป็นคนทันโลก ทันเหตุการณ์ เขาพร้อมที่จะยอมรับและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ตรงกันข้าม บุคคลที่ล้มเหลว มักหยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บุคคลโดยทั่วไป เมื่อจบการศึกษาแล้ว ได้รับปริญญาแล้ว ก็หยุดที่จะเรียนรู้
                8.รู้จักหาความสมดุลให้แก่ชีวิต บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักสร้างความสมดุลให้แก่ชีวิต โดยหาความสงบ เข้าหาธรรมชาติ  ฝึกจิตใจ ฝึกสมาธิ ตรงกันข้าม บุคคลโดยทั่วไปมักจะดำเนินชีวิตเป็นไปตามกระแสโลก โดยเฉพาะโลกแห่งวัตถุนิยม โลกแห่งการบริโภคนิยม

                ดังนั้น หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านจึงควรสร้างนิสัยแห่งความสำเร็จ ท่านก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เหมือนคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆคน

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มึงสู้จริงหรือเปล่า

มึงสู้จริงหรือเปล่า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
                หากครั้งแรกคุณทำไม่สำเร็จก็ขอให้ พยายาม พยายาม และพยายาม ทำต่อไป.........
                ความสำเร็จจะมีหรือไม่มี ก็ช่างหัวมัน แต่จง พยายาม พยายามและพยายาม ทำต่อไป......
                                ดิเอโก มาราโดนา นักแตะระดับโลก ซึ่งได้รับฉายาว่า “ หัตถ์พระเจ้า ” เล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเขาต้องการเข้าสู่นักแตะอาชีพ เขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อม ฝึกฝน การแตะบอลวันละไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง เป็นเวลาเกือบ 10 ปี สุดท้ายเขาเป็นนักฟุตบอลระดับโลก
                                บิล เกตต์ เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำในสิ่งที่เขารัก เขาต้องยุ่งอยู่กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องมือไฟฟ้า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เขาต้องทนทำงานเหล่านี้ภายในโรงเก็บรถเก่าๆของพ่อเขา เขาใช้เวลาวันละไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ทุกๆวัน สุดท้ายเขาคือเจ้าพ่อคอมพิวเตอร์ระดับโลก
                                เออเนสต์ เฮมิงเวย์ นักเขียนรางวัลโนเบล เขาต้องทุ่มเทและใช้เวลาเขียนหนังสือทุกๆวัน เขาแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านเลยเป็นเวลาหลายๆปี อีกทั้งเขาต้องใช้เวลาอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือทุกๆวันอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง งานเขียนช่วงแรกๆ เขาถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธ สุดท้ายเขาคือผู้ชนะ โดยได้รับรางวัลระดับโลก
                                จิมมี  เฮนดริกซ์  เขาได้รับยกย่องว่าเป็นนักกีตาร์มือดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขาต้องฝึกซ้อม ฝึกฝน การเล่นกีฬาของเขาตลอดเวลา ทุกๆวัน เป็นเวลาหลายปี โดยเขาต้องฝึกฝนไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ต่อวัน สุดท้าย เขาได้รับยกย่องในระดับโลก
                                คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่มีเป้าหมาย รู้ว่าตนเองชอบอะไร แล้วเดินทางไปสู่เป้าหมาย อย่างไม่ลดละความพยายาม ตรงกันข้าม เขาจะฝึกฝน ฝึกซ้อม อย่างหนัก แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มักจะโทษสิ่งต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง โทษดิน โทษฟ้า โทษอากาศ หรือ มีข้ออ้าง ข้อแก้ตัวต่างๆนาๆ เช่น ฉันมันไม่มีโอกาส ฉันไม่มีเงิน ฉันเป็นคนไม่มีชื่อเสียง ฉันมัน......ฯลฯ
ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านจำเป็นจะต้องรู้จักตนเองอย่างแท้จริง ว่าตนเองต้องการอะไร ตนเองอยากที่จะเป็นอะไร แล้วจึงฝึกฝน ฝึกซ้อมตนเอง ตามเป้าหมาย ตามความฝัน ทุกๆวันอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 8 ชั่วโมงขึ้นไป และต้องฝึกฝน ฝึกซ้อมเป็นเวลาหลายๆปี ท่านจึงจะเป็นที่หนึ่งในวงการนั้นๆ