วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก

จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
                ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความสงสัย อยากรู้ ว่าทำไมบุคคลที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยเงินทอง เขาทำอย่างไรถึงได้ประสบความสำเร็จ กระผมจึงได้ศึกษาค้นคว้า อ่านหนังสือ ตำรา ต่างๆมากมาย จึงทำให้ทราบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามีอะไรที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เขามักจะรักในสิ่งที่เขาทำและจะทำในสิ่งที่เขารัก
                นักแต่งเพลงชื่อดังคนหนึ่ง เขาเคยรู้สึกสับสนตนเอง เนื่องจากงานเพลงที่เขาแต่งมักเกิดจากการจ้างวานหรือคนเสนอให้เขาเขียนเพลงแนวนั้นแนวนี้ จนเขารู้สึกว่า เขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ในงานเพลงนั้นๆ ทำให้การใช้ภาษา การสื่ออารมณ์ต่างๆ ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนในที่สุด เขาตัดสินใจพักงานทั้งหมด แล้วไปค้นหาตัวเองยังต่างประเทศ พร้อมด้วยคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งถือว่าเป็นคู่มือนำทางชีวิตของเขา จนในที่สุดเขาก็ค้นพบตัวต้นของเขาเองอีกครั้ง ว่าเขาสามารถแต่งเพลงได้ดีหากมันเกิดขึ้นจากความต้องการภายในมากกว่าการแต่งเพลงที่เกิดจากการจ้างวานด้วยเงินเป็นจำนวนมาก
                เขาจึงหันกลับมาแต่งเพลงที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงทำให้เขาพบความสุขมากยิ่งขึ้น อีกทั้งงานเพลงเหล่านั้นได้สร้างชื่อเสียงให้เขาได้อย่างมากมาย นักแต่งเพลงคนนั้นชื่อ บอย โกสิยพงษ์ หรือ นักแต่งเพลงรักในอันดับต้นๆของประเทศไทย
                จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่ตนเองรัก มากกว่าการทำงานเพื่อเห็นแก่เงินจำนวนมาก ถ้าหากท่านทำให้สิ่งที่รักจนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นชื่อเสียง เงินทอง ก็จะมาหาท่านเอง กระผมขอเขียนขยายความเรื่องของใจรักในงานว่ามีประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
1.               คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ ย่อมเป็นบันไดก้าวแรกซึ่งนำพาเราสู่ความสำเร็จ ความมีใจรักในงานที่ตนเองทำจะนำพาชีวิตเราก้าวสู่จุดหมายปลายทางของความสำเร็จ เช่น เฉินหลงรักในงานแสดง , เอดิสัน รักในงานประดิษฐ์ , ไทเกอร์ วูดส์ รักในกีฬากอล์ฟ , สตีฟ จอบส์ รักในงานค้นคว้านวัตกรรมทางเทคโนโลยี ฯลฯ
2.               คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะเปลี่ยนแปลงตัวคุณได้ เราลองสังเกตดูว่า หากเราทำงานที่เราไม่ชอบ เราจะรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ใจ ไม่อยากทำงาน ขี้เกียจ ไม่มีความกระตือรือร้น แต่หากเราลองได้ทำงานที่เรามีใจรัก ก็จะทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำ มีความขยันขันแข็ง ทำงานนั้นด้วยความสนุกสนาน เกิดความกระตือรือร้นในงานที่ตนเองทำ
3.               คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะช่วยเพิ่มพูนพลังใจ แก่ตัวเรา หากเรามีใจรักในงานที่ตนเองทำ  งานนั้นจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี แจ่มใส อยู่เสมอ ยิ่งหากเราได้เห็นผลงานที่เราได้ทำสำเร็จชิ้นแล้วชิ้นเล่า เราก็จะมีความอิ่มเอมใจ แต่ตรงกันข้าม หากเราได้ทำงานที่เราไม่ชอบ ก็จะทำให้จิตใจเกิดความรู้สึกที่หดหู่ ไม่เบิกบาน ผลงานที่ได้ทำออกมาก็จะมีคุณภาพที่ไม่ดีเท่าที่ควร เราจะไม่มีความรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานที่ทำออกมา
4.               คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ มักสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เช่น สองพี่คนตระกูลไรต์ ประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกได้ ก็เนื่องจากการมีใจรักในงานที่ตนเองทำ ซึ่งก่อนการประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกนั้น คนทั่วไปมักบอกว่าเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเคยมีคนตั้งมากมายได้พยายามประดิษฐ์เครื่องบินแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ทำ ถึงแม้จะเกิดความผิดพลาดล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในที่สุดเครื่องบินลำแรกของโลกก็เกิดขึ้น จากสิ่งที่คนทั่วไปบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เนื่องจากใจรักในงานที่ทำนั้นเอง               
ดังนั้น การมีใจรักในงานที่ตนเองทำจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จพึ่งมี บัณฑิต อึ้งรังสี รักในงานวาทยกร
ซึ่งในยุคสมัยของเขา วาทยกรในประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมหรือเป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ตนเองทำ เขาฝึกฝนอย่างหนัก หาโอกาสต่างๆให้กับตนเอง เรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง จนในที่สุด โลกก็จารึกชื่อของเขาให้เป็นวาทยกรระดับโลก
จงรักในสิ่งที่ท่านทำ จงทำในสิ่งที่ท่านรักแล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จและมีความสุขในการทำงาน

จงกระตุ้นตัวเองเพื่อการกระตุ้นผู้อื่น


จงกระตุ้นตัวเองเพื่อการกระตุ้นผู้อื่น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
                การจะเป็นผู้นำผู้อื่นและทำให้ผู้อื่น เกิดความศรัทธา เชื่อถือ ปฏิบัติตาม ผู้นำคนนั้นจะต้องมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้ผู้อื่นคล้อยตามได้ ซึ่งคุณสมบัติต่างๆที่ผู้นำมีเพื่อเป็นการกระตุ้นตัวเอง เมื่อผู้นำกระตุ้นตนเองแล้วก็จะส่งผลเพื่อเป็นการกระตุ้นผู้อื่นหรือผู้ตามไปในตัว สิ่งที่ผู้นำควรกระตุ้นตนเองมีดังนี้
                1.การตัดสินแน่วแน่ว่าตนต้องการอะไร มีเป้าหมายอะไร แล้วสามารถอธิบายให้ผู้ตามล่วงรู้ได้ ก็จะทำให้ผู้ตามเกิดความศรัทธา เกิดแรงกระตุ้น อยากที่จะช่วยเหลือ สนับสนุนให้ผู้นำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้ การสร้างเป้าหมายแล้วตัดสินใจแน่วแน่และมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดใจให้ทั้งผู้นำและผู้ตาม มีทิศทางเดียวกัน เช่น ผู้นำตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะขยายกิจการและมีเป้าหมายในการทำธุรกิจให้ได้ 100 ล้านบาท ภายในปีหน้า เป็นต้น
                2.ความเชื่อมั่นในตนเอง ของผู้นำจะทำให้ผู้ตามเกิดความเชื่อมั่นในตนเองได้ แต่ถ้าหากผู้นำเกิดลังเล จับจด เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก็จะทำให้ผู้ตามเกิดความสับสนและมองภาพลักษณ์ว่าผู้นำไม่มีความเด็ดขาด ผู้นำอ่อนแอ ไม่กล้าหาญ หากผู้นำสามารถกระตุ้นตนเองให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าตนสามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน แรงกระตุ้นนั้นก็ส่งผลไปยังผู้ตามกล่าวคือทำให้ผู้ตามเกิดความเชื่อมั่นในตนเองว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้ทีมงานไปถึงเป้าหมายได้เช่นกัน
                3.เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ตนเองและผู้อื่น การมีมนุษย์สัมพันธ์ของผู้นำมีความสำคัญก็จริงอยู่ แต่การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีก็ไม่สามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ การที่ผู้นำจะสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่นั้น ผู้นำจะต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่นให้ได้เสียก่อน เขาจึงจะถือได้ว่าเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูง จงสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นแก่ตนเองเพื่อไปกระตุ้นแรงบันดาลของผู้ตาม
                4.จงกล้าที่จะเสี่ยง ผู้นำที่ไม่กล้าตัดสินใจ ผู้นำที่คอยระมัดระวังตัวและผู้นำที่ระแวงลูกน้องตลอดเวลา มักทำให้ลูกน้องไม่กล้าที่จะริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นในงาน ตรงกันข้ามกับผู้นำที่กล้าที่จะเสี่ยง ย่อมกระตุ้นให้ทีมงานเกิดความกล้าทดลองสิ่งแปลกๆใหม่ๆและเกิดนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นภายในบริษัทหรือองค์กร ดังนั้นผู้นำจึงควรกล้าที่จะเสี่ยงเพราะการกล้าเสี่ยงของผู้นำจะเป็นการกระตุ้นให้ลูกน้องมีความกล้าหาญในการทำงานมากยิ่งขึ้น
                5.จงสนุกกับชีวิต พวกเราลองคิดดูว่าคุณต้องการผู้นำในลักษณะใด เช่น ผู้นำที่มีลักษณะเป็นคนขี้บ่น เป็นคนอมทุกข์ เป็นคนหดหู่ หรือ ผู้นำที่มีลักษณะ ร่าเริง แจ่มใส มีความสนุกตื่นเต้น กระตือรือร้นในการทำงาน ดังนั้น หากผู้นำแสดงให้ผู้ตามเห็นว่า ตนมีความสนุกกับการทำงานและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นราวกับถูกไฟเผา ผู้ตามก็จะรู้สึกถึงอารมณ์ การแสดงออกต่างๆของผู้นำได้
                ดังนั้น การแสดงออก อารมณ์ ความรู้สึก สิ่งต่างๆที่ผู้นำกระทำจึงเป็นสิ่งที่มีผลกระทบไปยังความรู้สึก นึกคิด อารมณ์ต่างๆของผู้ตามอีกด้วย ดังนั้นผู้นำที่ดี ที่มีประสิทธิภาพ ต้องเป็นผู้นำที่สามารถกระตุ้นตนเองได้ เมื่อผู้นำสามารถกระตุ้นตนเองผู้นำคนนั้นก็จะสามารถกระตุ้นผู้อื่นได้ จงกระตุ้นตนเองเพื่อการกระตุ้นผู้อื่น

อ่านหนังสือได้เร็วชีวิตพัฒนาขึ้น


อ่านหนังสือได้เร็วชีวิตพัฒนาขึ้น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
                การอ่านมีความสำคัญและมีความจำเป็นในการพัฒนาตนเอง ถ้าอยากประสบความสำเร็จจงรักการอ่าน แต่ในยุคปัจจุบัน เป็นยุคแห่งการแข่งขัน การเร่งรีบ สังคมโลกเป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสาร ความรู้ เรามีหนังสือ มีเอกสารต่างๆ มากมาย ใครที่อ่านหนังสือได้เร็วจึงได้เปรียบกว่าคนที่อ่านหนังสือได้ช้ากว่า
                การอ่านหนังสือได้เร็วช่วยพัฒนาตัวเราได้หลายอย่างและมีประโยชน์ต่อตัวเรา เช่น
                1.ช่วยประหยัดเวลา มีคนเป็นจำนวนมากที่ขาดทักษะการเรียนรู้ เทคนิคในการอ่านหนังสือเร็ว คนเหล่านี้มักจะเสียเวลาเป็นชั่วโมงหรือหลายๆชั่วโมงในการอ่านหนังสือพิมพ์เพียงแค่เล่มเดียว แต่ถ้าหากท่านมีทักษะและพัฒนาการอ่านของท่านให้เร็วกว่าปกติ ท่านสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้เป็นจำนวนที่มากขึ้นแต่ใช้เวลาอ่านในจำนวนที่เท่ากัน หรือ การอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นจะทำให้ท่านมีเวลาที่เพิ่มขึ้นและสามารถนำเวลาเหล่านั้นไปอ่านหนังสือได้อีกเป็นจำนวนมาก
                2 ช่วยพัฒนาสมอง การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้มันสมองของเราได้รับการฝึกฝน ได้คิด ได้ออกกำลังแต่เป็นการออกกำลังสมอง การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้คลื่นสมองของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
                3.ช่วยพัฒนาการพูด ความสามารถในการพูดมักเกิดจากความคิดที่ดี และการที่คนเราจะมีความคิดที่ดี เกิดจากหลายปัจจัย เช่น เรื่องของประสบการณ์ การรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ การอ่านหนังสือก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเราเกิดความคิดที่กว้างไกล ทันสมัย รอบรู้ การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้เราได้รับข้อมูลข่าวสาร ความรู้ที่มากขึ้นกว่าคนที่อ่านหนังสือได้ช้า
                4.ช่วยให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น นักบริหาร นักธุรกิจ นักเขียน  มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาการอ่านให้อ่านได้เร็วขึ้น หากท่านเป็นนักบริหาร นักธุรกิจ ในยุคปัจจุบัน ท่านจะต้องพบกับแฟ้มเอกสารต่างๆ ที่มีมากมาย หากท่านอ่านหนังสือได้ช้า ก็จะทำให้การทำงานของท่านช้าไปด้วย แต่ตรงกันข้ามหากท่านอ่านหนังสือได้เร็ว ท่านก็จะได้อ่านจดหมาย เอกสาร หนังสือต่างๆได้ไวขึ้น แล้วจะทำให้การทำงานของท่านรวดเร็ว ผู้ที่เป็นนักเขียนก็เช่นกัน การจะเขียนได้ต้องมีข้อมูล และข้อมูลส่วนใหญ่ก็จะมาจากการอ่านหนังสือ หากอ่านหนังสือได้เร็ว ท่านก็จะมีข้อมูลที่มากขึ้น
                5.ช่วยให้สอบผ่านและได้คะแนนดี การอ่านหนังสือเร็วจะช่วยในการเรียนหนังสือได้เป็นอันมาก เนื่องจากการเรียนจะต้องเรียนหลากหลายวิชา อีกทั้งบางวิชา ครู อาจารย์ ยังต้องให้มีการอ่านหนังสือเสริมหรือหนังสือภายนอกเพื่อใช้ในการสอบอีกด้วย การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้ท่านอ่านหนังสือได้ทันตามเวลาที่ ครู อาจารย์ กำหนด
                6.ช่วยให้ได้รับความบันเทิง หลายท่านเมื่อได้เห็นหนังสือนิยาย หนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือกำลังภายในจีน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความหนาอีกทั้งมีจำนวนหน้าที่มีมาก หากอ่านช้าคงต้องเสียเวลาหลายวัน อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าหนังสือเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่หากท่านอ่านได้เร็ว ท่านสามารถได้รับความบันเทิงจากการอ่านหนังสือได้หลายเรื่องในช่วงระยะเวลาที่มีจำกัด
                ทั้งหมดข้างต้น คือประโยชน์ของการอ่านหนังสือได้เร็ว แต่การอ่านหนังสือได้เร็ว กระผมไม่ได้หมายถึงการอ่านหนังสือแบบลวกๆ เมื่ออ่านเสร็จแล้วจำอะไรไม่ได้ แต่ตรงกันข้าม หากอ่านจบเราสามารถสรุปเนื้อหาและทราบเรื่องราวต่างๆ ได้เหมือนกับการอ่านปกติ เมื่อท่านอ่านหนังสือได้เร็วแล้วท่านลองทดสอบโดยการถามคำถามในเรื่องราวที่ท่านได้อ่านเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าท่านเข้าใจในสิ่งที่ท่านได้อ่านมากน้อยเพียงใด
ลองถกกับหนังสือที่ท่านอ่าน แล้วจะทำให้ท่านเกิดการพัฒนาการอ่านของท่านได้ดียิ่งขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า

ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
                แลอดีต....  เมื่อเหลียวหลังไปดูอดีตหลายๆคนมักเสียใจว่า สิ่งที่เราอยากทำหรือควรทำน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ทำไมเราถึงไม่ทำ เช่น การเรียน บางคนเสียใจว่า ทำไมตอนเด็กๆเราน่าจะตั้งใจเรียนกว่านี้ หากตั้งใจตอนนี้ชีวิตของเราคงเจริญก้าวหน้ามากกว่าปัจจุบัน
                อยู่กับปัจจุบัน.... แต่เราก็ไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราในอดีตได้อีกแล้ว เพราะสิ่งใดในชีวิตคนเราผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อีก จงอยู่กับชีวิตในปัจจุบัน จงใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้ อย่าได้เสียใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่จงนำประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดีในอดีต นำมาเป็นบทเรียนต่อไป
                ล้มได้ก็ลุกได้....คนเราทุกคนในโลกนี้ เกิดมาแล้วย่อมต้องพบกับปัญหาอุปสรรคต่างๆ นานา  ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเงินทอง ปัญหาการทำงาน ปัญหาความรัก ปัญหาครอบครัว ฯลฯ บางคนยอมพ่ายแพ้ต่อปัญหา บางคนยอมรับกับความผิดหวัง ความล้มเหลว แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเขาพบกับความล้มเหลว เขาจะลุกขึ้นสู้อีกครับ
                พ่ายแพ้ชั่วคราว... คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ เขามักมีความเข้าใจปรัชญาของคำว่า “ การพ่ายแพ้ชั่วคราว”
การพ่ายแพ้มักไม่สามารถทำให้เราจบสิ้น แต่ความล้มเลิกต่างหากที่ทำให้คนเราจบสิ้น จงกระโดดโลดเต้นดีใจแล้วร้องว่า “ความสำเร็จรอเราอยู่ข้างหน้า” แล้วเริ่มต้นต่อสู้ใหม่อีกครั้ง
                จงกำหนดชีวิตของเราด้วยตัวตนของเราเอง....ไม่มีใครที่จะกำหนดชีวิตของเราหรือรู้จักตัวตนของเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จงกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง อย่าให้ใครมาเป็นผู้กำหนด คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ไม่ได้มีชีวิตให้คนอื่นใช้ ชีวิตจะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นสำคัญ
                เดินต่อไป...... คนเราเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาในอดีตไม่ได้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ จงก้าวเดินต่อไป จงหาเป้าหมายของชีวิตตั้งแต่บัดนี้ จงจับจ้องที่เป้าหมาย ไม่ใช่จับจ้องที่อุปสรรค แล้วชีวิตของท่านก็จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและมีความสุข เพราะโลกทั้งโลกมักเปิดทางให้กับคนที่รู้ตัวว่าเขาจะเดินทางไปในทิศทางใด ขอให้ท่านจงเดินไปข้างหน้า ระยะทางหมื่นลี้ ย่อมเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอ
                 ถ้าไม่กล้า...ก็ไม่มีวันเดินหน้า.... คนเราเมื่อไม่กล้าที่จะทำอะไร ก็ไม่ควรหวังว่าจะได้อะไร จงกล้าที่จะไปตามหาความฝันของตนเองตามเส้นทางเดินของตนเอง ถึงแม้คนรอบข้างของเราจะคัดค้าน ต่อต้าน ไม่เห็นด้วย ไม่มีการสนับสนุน ก็ตาม จงก้าวเดินไปสู่ความฝันอย่างมั่นใจ จงเลือกอาชีพที่ตนเองชอบและตนเองถนัด แต่ถ้าหากท่านยังหาสิ่งที่ใช่อาชีพที่ใช่ยังไม่เจอ จงหามันต่อไป แล้วจงกล้าที่จะก้าวเดินต่อไป อย่าได้หวั่นไหวกับอุปสรรคต่างๆ