วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

วิธีทำตนให้คนเกลียดในที่ทำงาน


วิธีทำตนให้คนเกลียดในที่ทำงาน
 โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
          การทำงานภายในองค์กรเรามักจะต้องมีความสัมพันธ์กับบุคคลหลายๆฝ่าย ซึ่งเราสามารถแยกได้ดังนี้
          1.เจ้านาย นายจ้าง ผู้บริหาร
            2.บุคคลที่เสมอกัน หรือ เพื่อนร่วมงาน
            3.ลูกน้อง ลูกจ้าง
                        หากเราสังเกตเพื่อนร่วมงานหรือคนที่ทำงานในองค์กร บุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน มักจะเป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่ภายในองค์กรมากกว่าบุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งบุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จมักมีพฤติกรรมที่ทำให้คนเกลียดดังนี้
-         การไม่ให้ความร่วมมือ บุคคลที่เป็นที่รังเกลียด มักเป็นบุคคลที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับคนภายในองค์กรหรือไม่ยอมทำตามนโยบายของบริษัท เช่น เขารณรงค์ให้ประหยัดไฟฟ้า น้ำประปา กลับไม่ช่วยองค์กรประหยัด , องค์กรขอความร่วมมือให้ใส่เสื้อสีเขียวทุกวันศุกร์ก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม เป็นต้น
-         คิดในแง่ลบ อยู่เสมอ บุคคลที่ทำงานแล้วคนเกลียดมักเป็นบุคคลที่มองโลกในแง่ลบ มักคิดกับผู้อื่นในแง่ร้าย ชอบนินทาว่าร้ายบุคคลอื่นๆ เขาจึงเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเพื่อนที่สนิทมากนัก
-         ไม่รับผิดชอบงาน รับปากใครแล้วไม่ปฏิบัติตาม บุคคลที่ไม่มีความรับผิดชอบในการทำงาน มักทำงานไม่ทัน สาเหตุก็เนื่องมาจากการปล่อยงานค้างไว้เป็นจำนวนมากๆ  อีกทั้งรับปากใครแล้วไม่ยอมปฏิบัติคำพูดตามคำสัญญา
-         ขาดความกระตือรือร้น ในการทำงาน เฉื่อยชา ทำงานช้า ไม่ทันใจ อีกทั้งมีนิสัยดื้อดึง ใครพูดใครสอนอะไร มักไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมรับผิดเมื่อตัวเองทำงานผิดพลาด
-         ไม่มีความสุภาพ อ่อนโยน แข็งกระด้าง พูดจาก้าวร้าว คนที่มีนิสัยดังกล่าว มักจะไม่มีใครอยากเข้าใกล้
-         ไม่รักองค์กรที่ตนเองทำงาน บุคคลเหล่านี้มักโจมตีหน่วยงานที่ตนเองทำงานอยู่เป็นประจำ จึงเป็นที่น่ารังเกลียดของเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง
          ฉะนั้น หากว่าท่านมีพฤติกรรมดังกล่าวตามข้อความข้างต้นนี้ ขอให้ท่านจงลองที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อให้เป็นที่รักของคนในองค์กร 

ประสบความสำเร็จในการทำงานด้วยหลัก 5 ถึง


ประสบความสำเร็จในการทำงานด้วยหลัก 5 ถึง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
          ในการทำงานเราสามารถที่จะสร้างทรัพย์สิน สร้างองค์กรให้ยิ่งใหญ่ได้ ก็ด้วยหลักการ 5 ถึง ซึ่งหลักการ 5 ถึง มีดังนี้
            1.เงินทุนถึง การที่จะประกอบธุรกิจต่างๆ เราจำเป็นจะต้องมีเงินทุน หากมีเงินทุนมากเราก็ย่อมมีโอกาสในการขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว เพราะการมีเงินทุนมาก เราสามารถใช้เงินทุนสำหรับการจ้างงาน , การสร้างสำนักงาน , การลงทุนซื้อที่ดิน ซื้อโรงงาน ซื้อเครื่องจักรต่างๆ เป็นต้น
            2.ฝีมือถึง คือ การที่จะประกอบธุรกิจอาชีพการทำงานต่างๆ จำเป็นจะต้องเป็นมืออาชีพในการบริหารงาน มีความสามารถในการนำทีม มีความสามารถในการตัดสินใจ แก้ไขปัญหาต่างๆ
            3.หัวใจถึง คือ มีความมั่นใจในตนเอง มีความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ  เมื่อปัญหา มีอุปสรรคมากๆ ก็สามารถนิ่งได้ ไม่วิตกกังวลจนเสียสุขภาพจิต
            4.ทีมงานถึง คือ การทำงานใหญ่ได้ ท่านไม่สามารถทำคนเดียวได้ หากใครได้ดูภาพยนตร์เรื่อง สามก๊ก ก็จะเข้าใจ ในภาพยนตร์เชิงประวัติศาสตร์ของจีนเรื่อง สามก๊ก สื่อให้เราทราบว่า คนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ก๊กใดมีทีมงานที่เก่ง ก๊กนั้นก็จะสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ได้
            5.วาสนาถึง คือ แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งกันยาก บางคนบอกว่า “ เก่งไม่กลัวกลัวเฮง” เรื่องของดวง เรื่องของบุญวาสนา บางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่หลายๆคนอาจเชื่อ
ฉะนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จ หลักข้อ 5 เกี่ยวกับเรื่องวาสนา เป็นเรื่องของนามธรรม เมื่อเทียบกับหลักการ 4 ข้อแรก ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรมมากกว่า หากท่านเชื่อเรื่องของบุญวาสนา ท่านก็ไม่ควรละเลยการเติมบุญสำหรับวิธีการเติมบุญทางพุทธศาสนาท่านสามารถทำได้ เช่น การฟังธรรม การทำบุญตักบาตร การไปเวียนเทียน การบริจาค การให้อภัยซึ่งกันและกัน การทอดกฐิน การทอดผ้าป้า เป็นต้น

รู้จักตนเอง...เพื่ออนาคตการทำงานของตนเอง


รู้จักตนเอง...เพื่ออนาคตการทำงานของตนเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
          เด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษา ควรทำการรู้จัก วิเคราะห์ตนเอง ว่าตนเองเป็นคนอย่างไร ชอบอะไร เพราะถ้าหากเรารู้จักตนเองดี ก็จะทำให้เราสามารถเลือกประกอบอาชีพที่ตนเอง มีความชอบ มีความถนัด มีความชำนาญได้ แต่ถ้าหากใครยังไม่รู้จักตนเอง ท่านสามารถวิเคราะห์ตัวท่านเองดังนี้
            1.ท่านทำอะไรแล้วมีความรู้สึกว่าดี ทั้งทางด้านอารมณ์ จิตใจ ความชอบ ความสนุกกับสิ่งๆนั้น
            2.ท่านเรียนรู้สิ่งใดได้อย่างรวดเร็ว เช่น บางคนเป็นนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เขาจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว จากการลองผิดลองถูก การศึกษาด้วยตนเอง การอ่านหนังสือ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับให้ทำ
            3.ท่านอยากทำสิ่งใดมากที่สุด หลายท่านชอบเล่นกีฬา หลายท่านชอบพูดและอยากเป็นวิทยากร จงค้นหาว่าตนเองอยากที่จะทำอะไรมากที่สุด
            4.อะไรที่ท่านทำแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาดีและสม่ำเสมอ เช่น หลายคนชอบร้องเพลง แล้วออกมาดี จนมีคนฟังชื่นชอบ หากว่าท่านได้พัฒนาสิ่งนั้นต่อไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ท่านได้เปรียบมากกว่าคนที่ร้องเพลงไม่เป็น อีกทั้งในอนาคตท่านสามารถเป็นนักร้องได้อีกต่างหาก ซึ่งยุคสมัยนี้ นักร้องไม่จำเป็นต้องหล่อและสวยเหมือนในอดีต นักร้องหลายๆคนในต่างประเทศ ไม่หล่อไม่สวยแต่เป็นนักร้องได้ดีมีชื่อเสียง เงินทองอีกต่างหาก
            ทั้งนี้กระผมอยากให้ท่านทำการบ้าน โดยการนั่งเขียน นั่งวิเคราะห์ ว่าท่านเป็นคนอย่างไร โดยคำนึงถึงทั้ง 4 ปัจจัย ข้างต้นนี้ เช่น เมื่อท่านถ่ายรูปแล้วมีความรู้สึกที่ดี ท่านรักที่จะเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆในการถ่ายรูป ท่านอยากที่จะทำมันตลอดเวลา และ ผลลัพธ์จากการถ่ายรูปของท่านออกมาสวย เยี่ยมยอดอีกทั้งมีผู้คนขอซื้อภาพถ่ายต่างๆของท่าน ท่านก็สามารถพัฒนาตนเองให้เป็นนักถ่ายรูปอันดับต้นๆของเมืองไทยได้หรือเป็นวิทยากรฝึกอบรมทางด้านการถ่ายรูปหรือเป็นเจ้าของร้านขายกล้องถ่ายรูป ร้านอัดภาพ ได้ในอนาคต
            จงเลือกอาชีพ เพราะท่านมีใจรัก มากกว่าเลือกอาชีพ เพราะเงินหรือเลือกอาชีพเนื่องมาจากปัจจัยอื่นๆ

วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน


วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
          หากเรามีฐานะเป็นผู้บริหารหรือหัวหน้างานภายในองค์กร เรามีวิธีการอย่างไรถึงจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวเราเองกับลูกน้อง ซึ่งในบทความนี้ กระผมขอนำเสนอ 4 วิธี ดังนี้
            1.ชื่นชมลูกน้องบ้าง เมื่อมีโอกาส เมื่อลูกน้องทำความดี หรือมีผลงานเป็นที่ปรากฏ โดยหลักการชมลูกน้องที่ดี เราไม่ควรปล่อยเวลาให้นานจนเกินไป ควรชื่นชมในขณะที่เขาทำความดีหรือมีผลงานเป็นที่ปรากฏไม่นานนัก อีกทั้งเราควรชมต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของเขา หรือหากมีการประชุม เราก็ควรหาโอกาสชื่นชมเขาต่อที่ประชุม และควรเก็บหลักฐานการทำความดีต่างๆ เพื่อนำมาเสนอในการประชุม เช่น การตัดข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ , หลักฐานการได้รับรางวัลต่างๆ เป็นต้น
            2. ควรมีการตักเตือนบ้าง เมื่อลูกน้องทำผิด เราในฐานะหัวหน้างานก็ควรที่จะว่ากล่าวตักเตือน ชี้แนะเพื่อให้เขาเกิดการปรับปรุงตัว แต่หลักการตักเตือนที่ดี เราไม่ควรตักเตือนเขาต่อหน้าที่สาธารณชน แต่เราควรเรียกเขามาตักเตือนภายในห้องทำงานของเรา สองต่อสอง เพราะจะไม่ทำให้ลูกน้องเสียหน้าหรือขายหน้า
            3.เมื่อเกิดมีการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อลูกน้อง เราควรที่จะบอกกล่าวหรือให้ข้อมูลเขา เพื่อให้เขาได้เตรียมตัว หากจำเป็นเราก็ควรชี้แจ้งเหตุผลให้เขายอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงนั้น เช่น หากเขาถูกคำสั่งให้ย้ายงาน หรือ มีการสับเปลี่ยนหน้าที่
            4.กระตุ้นศักยภาพของลูกน้องออกมาอย่างเต็มที่ คนเราทุกๆคนมีศักยภาพในตัวมากมายแต่คนเราเกือบทุกๆคนใช้ ศักยภาพของตนเองน้อยมาก ดังนั้น หากเรามีโอกาสเราควรกระตุ้นหรือนำเสนอความสามารถที่ซ่อนเร้นของลูกน้องและไม่ควรกีดกันการแสดงศักยภาพของลูกน้องด้วยความอิจฉา ซึ่งความอิจฉานี้ สังคมไทยมีหัวหน้าหลายๆคนเป็นกันมาก กล่าวคือ ไม่อยากให้ลูกน้องของตนเอง โดดเด่นกว่าตน หรือ ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งแซงตนเอง
            หากว่าท่านเป็นผู้บริหารหรือหัวหน้างาน การนำหลักการ 4 ข้อ ข้างต้นไปใช้ กระผมเชื่อแน่ว่า ท่านจะสามารถได้หัวใจของลูกน้องไปครอบครองอย่างแน่นอน
 

ผู้นำที่ดีในการทำงาน


ผู้นำที่ดีในการทำงาน

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


          คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีในการทำงานมักมีคุณสมบัติที่ดีอยู่หลายอย่างหรือมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

            1.นักคิดริเริ่ม ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในการทำงานจำนวนมากมักเป็นนักคิดริเริ่มอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ ตัวอย่าง สตีฟ จอบส์ , บิล เกตต์ ฯลฯ บุคคลเหล่านี้มักออกสินค้าใหม่ๆ มักปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการทำงานอย่างสร้างสรรค์ตลอดเวลา

            2.นักแนะนำ ชี้แนะและเป็นผู้นำในการทำงานที่ดี เขามักเป็นบุคคลที่สามารถแนะนำงานให้แก่ผู้ตามได้ ผู้นำควรศึกษาระเบียบต่างๆของหน่วยงาน ไว้บ้างเผื่อลูกน้องถาม เช่น วันคลอดลูกเขาสามารถลาได้กี่วัน , วันลากิจ ลาป่วยลาได้กี่วัน ฯลฯ อีกทั้งยังต้องมีความรู้ ประสบการณ์ในการชี้แนะ งานให้แก่ลูกน้องได้

            3.นักประสานงานที่ดี การทำงานกับคนในองค์กร มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของคนเป็นส่วนใหญ่ ผู้นำในการทำงานจำเป็นจะต้องเป็นนักประสานงาน อีกทั้งควรสร้างพลังในการทำงานให้กับทีมงานได้

            4.นักวิเคราะห์ นักคิด กล้าตัดสินใจ เมื่อมีปัญหาต่างๆ ผู้นำที่ดีจะต้องมีความสามารถในการตัดสินใจ ซึ่งการตัดสินใจนั้น อาจมีทั้งถูกและผิด แต่ผู้นำที่ดีจะต้องตัดสินใจถูกให้มากกว่าผิด เขาจึงต้องรู้จักใช้และหาข้อมูลต่างๆไม่ว่าจะเป็นตัวเลข สถิติต่างๆ เพื่อมาทำการวิเคราะห์แล้วตัดสินใจ

            5.นักจัดสรรผลประโยชน์ ในองค์กร ในหน่วยงาน การทำงานในองค์กรหรือในหน่วยงาน มักมีการเมืองในองค์กร ซึ่งปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับการเมืองภายในองค์กรก็คือเรื่องของการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว การจัดสรรผลประโยชน์ของผู้นำ เพื่อที่จะให้ผู้ตามพอใจจึงเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของการเป็นผู้นำที่ดี

            6.นักสื่อสารที่ดี ผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถในการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพูด การเขียน การแสดงออกทางด้านท่าทาง ซึ่งการสื่อสารจะทำให้ผู้ตามเกิดความเข้าใจที่ตรงกัน และปฏิบัติงานได้ในทิศทางเดียวกัน ปัญหาความไม่เข้าใจกันก็จะลดน้อยลง

            7.นักโมติเวท นักกระตุ้นที่ดี ผู้นำที่ดีจะต้องเป็นนักกระตุ้นเพื่อให้คนในองค์กร เกิดความกระตือรือร้นในการทำงาน และใช้ศักยภาพของแต่ละคนอย่างเต็มกำลังความสามารถ

            8.นักสร้างความน่าเชื่อถือ ผู้นำที่ดีต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งในเรื่องของบุคลิกภาพ การแต่งตัว การพูดการจา การเดิน การนั่ง อีกทั้งยังต้องปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อผู้ตามด้วย

            ฉะนั้น ท่านก็สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ หากว่าท่านมีคุณสมบัติตามข้อความข้างต้นหรือมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติอื่นๆต่อไป

 

บัญญัติ 20 ประการทะยานสู่ความสำเร็จในการทำงาน


บัญญัติ 20 ประการทะยานสู่ความสำเร็จในการทำงาน

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


          1.ต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตการทำงาน

            2.เดินไปหาเป้าหมายที่ตนเองตั้งเอาไว้

            3.ฝึกฝน เรียนรู้ ทักษะ ทางด้านการบริหารเวลา

            4.จงคิด ริเริ่ม สร้างสรรค์ ผลงานใหม่ๆ

            5.มองโลกในแง่บวกให้มากขึ้น

            6.จงพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

            7.จงเข้ารับการฝึกอบรม การอ่านหนังสือ การฟังวิชาการอยู่เสมอ

            8.จงใช้ศักยภาพของตนเองให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ในการทำงานทุกๆชิ้น

            9.จงพูดให้กำลังใจตนเอง พูดบวกกับตัวเองอยู่เสมอ

            10.จงกล้าที่จะล้มเหลว เพราะทุกความล้มเหลวจะทำให้เราเข้มแข็งและฉลาดขึ้น

            11.จงจินตนาการถึงเป้าหมายที่ตนเองต้องการอยู่บ่อยๆ

            12.จงเขียน จงวางแผนและทบทวน สิ่งที่ตนเองต้องการในชีวิตอย่างแท้จริง

            13.จงหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เป็นประจำ

            14.ต้องรักษาสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายของตนเอง อย่าได้ประมาท

            15.จงลงมือทำทันทีหรือ ททท. ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ดินพอกหางหมู

            16.จงให้ความสำคัญและรู้จักคุณค่าของคน จงสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น

            17.เมื่อประสบความสำเร็จ เมื่อมีเวลาก็ควรช่วยเหลือสังคมบ้าง

            18.จงกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา ในการทำงาน

            19.จงเรียนรู้ที่จะให้อภัยแก่ตัวเองและรู้จักให้อภัยแก่ผู้อื่น

            20.จงเป็นตัวของตัวเอง อย่าได้เลียนแบบใคร หรือ ทำตามใคร

 

ทำไมท่านถึงไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน


ทำไมท่านถึงไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
          คนที่ทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จในที่ทำงาน ก็เนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น
1.ไม่มีเป้าหมาย คนที่มีเป้าหมายมักจะเป็นคนที่กระตือรือร้นในการทำงานมากกว่าคนที่ไม่มีเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายอาจจะเป็นเรื่องของ ตำแหน่ง , ความก้าวหน้า , การพัฒนางานของตนเอง เป็นต้น
2.มีข้ออ้างตลอดเวลา ผมเคยเห็นคนแขนขาทั้งสองข้าง ว่ายน้ำได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่ตรงกันข้าม คนแขนดีทั้งสองข้าง หลายคนว่ายน้ำไม่เป็นก็เนื่องมาจากการไม่ยอมที่จะลงมือกระทำและฝึกฝน แต่ตรงกันข้ามเขามักมีข้ออ้างต่างๆ มากมาย เช่น เขาไม่มีเวลา ,  การว่ายน้ำต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ,  ไม่ได้ฝึกว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็กหากฝึกมาตั้งแต่เด็กตอนนี้ก็คงเก่งแล้ว ฯลฯ คำพูดต่างๆเหล่านี้ ฟังดูแล้วอาจดูดี แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามักจะไม่มีข้ออ้าง แต่เขาจะลงมือกระทำอย่างจริงจังเพื่อก่อให้เกิดผลงานที่สามารถจับต้องได้
3.ขาดความมั่นใจในตนเอง บางคนมีความรู้มาก แต่ขาดซึ่งความเชื่อมั่นในตนเอง เขามักไปไม่ได้ไกล แต่คนที่มีความรู้น้อยแต่คนๆนั้นมีความเชื่อมั่นในตนเอง เขาก็จะสามารถนำพาตนเองให้ประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนซึ่งมีความรู้มากกว่า หากท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จท่านจำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองให้เกิดความมั่นใจในตนเอง
4.ไม่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ไม่ขยัน ไม่มีความพยายาม ทำงานไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ เขามักจะเป็นคนที่ทุ่มเทในการทำงาน บางคนทำงานตั้ง 12 ชั่วโมงต่อวันเลยก็มี เขาจึงประสบความสำเร็จมากกว่าคนทั่วไปที่ทำงานเพียงแค่วันละ 8 ชั่วโมง อีกทั้งการทำงาน 8 ชั่วโมง ของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ยังขาดซึ่งคุณภาพและประสิทธิภาพอีกด้วย
5.มองหาแบบอย่างที่ดีๆมากๆ คนที่ประสบความสำเร็จ มักมองหาต้นแบบในการทำงาน เขาจะเรียนรู้ เขาจะศึกษาจากตำรา เขาจะซักถามบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำงานอย่างไร ถึงได้ผลลัพธ์มากมายถึงขนาดนั้น แล้วเขาก็ถอดแบบ เลียนแบบ บุคคลต้นแบบเพื่อใช้เป็นทางลัดในการที่เขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วขึ้น
6.ไม่มีการพัฒนาตนเอง คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เขามักจะเป็นคนที่เหมือนถ้อยชาที่มีน้ำอยู่เต็มแก้ว เติมเพิ่มไม่ได้แล้ว เพราะเขาคิดว่าตนเองรู้ทุกเรื่องแล้ว ใครสอนอะไร ใครบอกอะไร เขาก็มักจะไม่เชื่อ
7. ไม่เรียนรู้ ไม่หาวิธีการใหม่ๆ โลกในยุคปัจจุบัน เป็นโลกในยุคของการแข่งขัน การแก้ไขปัญหาและการทำงานจะต้องหาวิธีการทำงานใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันกับคู่แข่งขันและการเปลี่ยนแปลง
            ดังนั้น หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ขอให้ท่านจงได้ขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป แล้วท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

Think Different


Think Different

โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

                Think Different หรือ คิดต่าง มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนที่ทำงานด้านการตลาด สตีเวน  จอบส์ (Steve Jobs) ผู้ก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์หรือ บริษัทแอปเปิล (Apple: Company Co-founder Steve Jobs Has Died) เขาให้ความสำคัญมากๆ เกี่ยวกับการคิดต่าง หรือ Think Different  บริษัทถึงกับออกโฆษณาตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับแนวความคิดนี้  และมีคนเคยถามว่า ทำไมเขาให้ความสำคัญเกี่ยวกับการคิดต่างหรือ Think Different  แต่มีการวิจัยตลาดหรือการหาความต้องการของลูกค้าน้อยมาก

                เขาตอบว่า ในบางครั้งลูกค้าก็ไม่รู้ตัวว่าตนเองต้องการอะไร พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า สมัยของเฮนรี ฟอร์ด คนเรายังไม่มีรถยนต์ใช้ แต่ใช้ม้า ใช้ช้าง ใช้วัว ใช้เกวียน ในการเดินทาง  ถ้าหากเฮนรี ฟอร์ด ทำการวิจัยทางการตลาดว่า ลูกค้ามีความต้องการอะไร ลูกค้ามักจะตอบกลับว่า เขาต้องการม้าที่วิ่งได้ไวที่สุด เขาต้องการเกวียนที่มีประสิทธิภาพที่สามารถบรรทุกของได้เป็นจำนวนมากๆ

                และถ้าหากเฮนรี ฟอร์ด สนองความต้องการของลูกค้า รถยนต์คันแรกของโลกก็จะไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น สตีเวน  จอบส์ จึงให้ความสำคัญกับการคิดที่แตกต่างเป็นอันมาก และ Think Different จึงเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของบริษัทแอปเปิล ที่นำเอามาใช้ในองค์กร จนองค์กรคือ บริษัทแอปเปิล ได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกและประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยความคิดที่แตกต่างสินค้าตระกูล I จึงได้เกิดขึ้น ( iPhone iPad iPod) ซึ่งมีหลายรุ่น หลายแบบ และหากเราตั้งข้อสังเกตจะเห็นได้ว่า สินค้าบางตัวเป็นสินค้าที่คิดมาก่อนบริษัทอื่นๆ  เมื่อออกมาขาย บริษัทบางแห่งถึงกับมีการลอกเลียนแบบสินค้าเพื่อนำไปขาย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า สตีฟ  จอบส์  จะไม่มีการทำการตลาดในตัวสินค้า แต่ตรงกันข้าม เขาจะมีทีมงานการตลาดของบริษัทเอง โดยที่ไม่จ้างนักการตลาดมืออาชีพหรือนักการตลาดที่มีชื่อเสียงมาจากภายนอกแต่จะใช้ทีมงานภายในบริษัทเอง

                บริษัท แอปเปิล ได้สร้างวัฒนธรรมด้วยการคิดต่างหรือ Think Different  ดังนี้  ส่งเสริมให้พนักงานคิดต่าง , ส่งเสริมเรื่องของคุณค่ามากกว่ากฎระเบียบ เช่นมองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่คำนึงถึงเรื่องของงานต้องเสร็จ พนักงานบางคนเดินเท้าเปล่าๆ เข้าประชุม โดยไม่มีใครต่อว่า , ต้องริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เสมอ  เป็นต้น

                ผู้ชนะคือผู้ที่กำหนดเกมส์ให้ผู้อื่นเล่น แต่ผู้พ่ายแพ้มักเล่นตามเกมส์ของผู้อื่น  ทำไมคนที่เป็นนักการตลาดจะต้องมีความคิดต่างหรือThink Different ก็เพราะการคิดต่างจะทำเกิดสินค้าใหม่ๆ กลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ  การแก้ไขปัญหารูปแบบใหม่ๆ  จึงทำให้องค์กรของตนเองหรือหน่วยงานของตนเอง ก้าวหน้ามากกว่าที่จะทำตามหรือลอกเลียนแบบ สินค้า กลยุทธ์การตลาดของบริษัทคู่แข่ง

                หากอยากเป็นผู้นำตลาด ก็ไม่ควรลอกเลียนแบบ เพราะคนลอกเลียนแบบมักจะเป็นผู้ตามวันยังค่ำ ตรงกันข้ามคนที่คิดต่าง หรือ Think Different มักมีโอกาสเป็นผู้นำตลาดอยู่เสมอ แต่ความยากที่สุดก็คงอยู่ที่ว่า นักการตลาดสมัยใหม่ กล้าหรือเปล่าที่จะคิดต่างและมีความกล้าหรือเปล่าที่จะนำความคิดนั้นไปใช้ เพราะความคิดใหม่ๆ มักต้องเผชิญกับทั้งความล้มเหลวหรือต้องเผชิญกับเสียงตำหนิ  เสียงดุด่า การเสียดสี การพูดในเชิงดูถูก แต่หากว่าความคิดต่างหรือThink Different ประสบความสำเร็จ คุณก็มีโอกาสโด่งดังมากกว่าคนที่ทำอะไรตามๆ คนอื่นเขา

                Make THE Difference  เมื่อคิดต่างแล้ว นักการตลาดที่ดีก็ควรลงมือทำให้เกิดความแตกต่างด้วย ซึ่งพลังในตัวของนักการตลาด สามารถเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้ นักการตลาดสามารถสร้างสรรค์ สร้างคุณค่าให้แก่ตัวของสินค้า บริการ ใหม่ๆได้ ซึ่งการสร้างสรรค์นี้จะส่งผลกระทบต่อตนเอง คนรอบข้างและสังคมอีกด้วย จงกล้าที่จะคิด พูด ทำ ในสิ่งที่ “ แตกต่าง” เพื่อการเปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆ ที่ตนเองทำให้ดีขึ้น จงเริ่มต้นที่ตัวของคุณเอง

                เอดิสัน ผู้คิดต่างหรือThink Different มีแนวคิดที่แตกต่างไปจากคนยุคเดียวกัน เขาคิดว่าเขาต้องการคิดหลอดไฟฟ้าดวงแรกของโลก ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการใช้ คนทุกๆคนในสังคมสมัยนั้น ไม่เห็นภาพว่าหลอดไฟฟ้าคืออะไร ด้วยความคิดที่แตกต่าง หลอดไฟฟ้าดวงแรกจึงเกิดขึ้น อีกทั้งการลงมือทำที่แตกต่าง ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เป็นของเขา มีคนตั้งคำถามเขาว่า หากว่าทำสองพันกว่าวิธียังไม่สำเร็จ ทำไมไม่เลิก นี่คือความคิดของคนทั่วไป แต่ เอดิสัน มีความคิดต่างหรือ Think Different เขาตอบกลับว่า ถึงแม้เขาจะยังไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อย เขาก็ได้ค้นพบสองพันกว่าวิธีที่ไม่เหมาะสมที่จะผลิตไส้หลอดไฟฟ้า  ดังนั้น หลอดไฟฟ้า ดวงแรกจึงเกิดขึ้น

                คุณสมบัติของนักการตลาดในยุคดิจิตอล  จึงต้องมีคุณสมบัติที่ คิดต่าง ทำต่าง เพื่อนำสิ่งแปลกๆใหม่ๆ มาสนองความต้องการของผู้บริโภค เมื่อสินค้า บริการ ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากๆ ก็จะทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโต การจ้างงานเกิดขึ้น รายได้จากแรงงานเกิดขึ้น คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวมก็จะดีขึ้น

                สรุป แนวความคิดเรื่องของ Think Different หรือ คิดต่าง กระผมสนับสนุนเต็มร้อยครับ ถึงแม้ว่าสังคมไทยเรามักจะไม่ชอบคิดก็ตาม  แต่ถ้าหากว่าเราส่งเสริม สนับสนุน ให้คนรุ่นใหม่ๆ คิดมากๆ กระผมเชื่อว่า เราจะมีนักการตลาดที่เป็นนักคิดสร้างสรรค์ นักคิดที่มีความแตกต่างๆ มากขึ้น เหมือนกับประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีนักคิดมากมาย ไม่ว่า เครื่องบินลำแรกเกิดขึ้นในสหรัฐ  ระบบร้านสะดวกซื้อ 7-11 เกิดขึ้นในสหรัฐ  ระบบอาหารสมัยใหม่เช่น KFC เกิดขึ้นในสหรัฐ รถยนต์ หลอดไฟฟ้า ระบบห้องสมุดประชาชน เกิดขึ้นในสหรัฐ

                แต่อย่างไร ก็ดีสังคมไทย ก็มีความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ มากขึ้นกว่าในยุคอดีต ดังจะเห็นได้จากสินค้าหลายตัว มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบ ความทันสมัย รสชาติ สีสัน ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น สมัยอดีต หากว่าเราจะเกิดโดนัสสักชิ้น เราคงจะต้องนึกภาพว่า โดนัส มีลักษณะกลมๆ มีรูตรงกลาง แต่ในปัจจุบัน มีนักการตลาด สร้างสรรค์ และออกแบบ โดนัส พิซซ่า ซึ่งทำให้ภาพของขนมโดนัส เปลี่ยนแปลงไป แต่ทำให้ผู้บริโภคอยากสัมผัส อยากทดลองสิ่งแปลกๆใหม่ๆ

                ฉะนั้น หากว่าท่านต้องการเป็นนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ท่านจำเป็นต้องคิดต่างจากนักการตลาดด้วยกัน แต่ถ้าหากท่านไม่คิดอะไรมาก ทำเหมือนๆคนอื่นๆ  ความสำเร็จในการทำงานด้านการตลาดของท่านก็อยู่ในระดับปกติมาตรฐานนักการตลาดด้วยกัน ทั้งนี้ ท่านจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเป็นนักการตลาดหรือไม่ คงไม่ได้อยู่ที่ใคร อย่าโทษสิ่งต่างๆ แต่จงโทษตัวของท่านเอง จงกล้าคิดต่างแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ ขอให้ท่านโชคดี